11/22/2555

วิธีดูแลรถยนต์

รถยนต์เป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งที่ปัจจุบันมีความสำคัญในการดำเนินชีวิต เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็วในการเดินทาง บทความนี้จึงมีเจตนาที่จะนำเสนอเกี่ยวกับการดูแลรถยนต์ของท่านผู้อ่านด้วยตัวท่านเอง สำหรับบางท่านที่ไม่มีเวลาดูแลก็ถือว่าเป็นความรู้แล้วกันนะครับ ติดตัวไว้เผื่อเวลาท่านได้เข้าอู่รถรถยนต์ หรือศูนย์บริการก็ดี เราได้เข้าใจว่าเราควรจะจ่ายค่าบำรุงรักษาให้เหมาะสมอย่างไร และเผื่อบางท่านรถยนต์ของท่านได้เกิดเสีย หรืออุบัติเหตุ ในนอกเขตพื้นที่ๆอู่หรือศูนย์ที่ท่านได้ใช้บริการเป็นประจำ เวลาเข้าไปคุยกับช่างเราจะรู้ได้ว่าช่างคนนั้นๆ จะหลอกเราหรือไม่ประการใด เพราะรถยนต์ถือเป็นทรัพย์มีค่า หรือบางทีถือได้เป็นเครื่องมือทำมาหากินเลยทีเดียว บางอย่างท่านได้รู้ปัญหาก่อนที่จะบานปลาย และได้เข้าซ่อมได้ทันท้วงที ทำให้ไม่ต้องเสียเงินก้อนโตครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใดบทความนี้จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าผู้อ่านไม่ได้สนใจจะดูแลรถยนต์ของท่านอยู่แล้วครับ



บทความนี้คงไม่ได้บอกถึงว่ารถยนต์ค่ายไหน ยี่ห้อไหนน่าใช้ หรือไม่น่าใช้นะครับ สำหรับตัวผมเองรถยนต์ทุกๆค่ายมีข้อดี ข้อเสีย แตกต่างกันครับ ถ้าข้อดีของค่ายนั้นๆเราเอามาใช้ประโยชน์ได้มาก และข้อเสียของเค้าเราไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก ก็ถือว่าเป็นรถที่เหมาะสมครับ

สำหรับการดูแลรถยนต์เบื้องต้นของบทความนี้นั้น บางเรื่องอาจจะลึกไปบ้าง ผิดพลาดไปบ้าง ผมต้องขออภัยในความรู้อันน้อยนิดของผมด้วยนะครับ




สิ่งที่ควรตรวจดูตลอดเมื่อคุณมีรถยนต์
1.ระดับของเหลวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหม้อน้ำ น้ำแบตเตอรี่(แบตแห้งไม่เกี่ยวนะครับ) น้ำมันเบรค น้ำมันเพาเวอร์ ระดับน้ำมันเครื่อง น้ำฉีดกระจก(อันนี้แถมไปด้วยครับไหนๆก็ตรวจแล้ว) น้ำมันเกียร์(ถ้าตรวจสอบเป็นนะครับ)
2.ลมยาง ลมยางในรถยนต์ถ้าเป็นรถยนต์เดิมๆ ไม่ได้มีการเปลี่ยนวงล้อ เปลี่ยนขนาดยางอะไร ส่วนมากแล้วระดับความดันในยางรถยนต์ จะแปะบอกไว้ที่ ขอบประตูด้านตัวถังฝั่งคนขับครับ ถ้าไม่มีในบุ๊คเซอร์วิส ก็น่าจะมีครับ รถเก๋งทั่วๆไป นี้ส่วนมากอยู่ที่ระดับ 30-32 psi ครับ กระบะก็ประมาณ 35-40 psi ขึ้นอยู่กับ load ครับ
3.ระบบส่องสว่าง เวลาเราใช้รถยนต์ตอนกลางคืน ไฟส่องสว่างสำคัญมากครับ อย่างไรควรดูแลให้ติดครบทุกดวงนะครับ ไม่ว่าจะ ไฟเลี้ยว ไฟหรี่ ไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเบรค ไฟถอยหลัง หลอดไหนขาดก็ซื้อเปลี่ยนครับ ส่วนวิธีเปลี่ยนขึ้นอยู่กับตัวโคม และหลอดครับ รายละเอียดส่วนนี้ ในคู่มือน่าจะมีบอกไว้ครับ
4.ระบบเบรค พวกผ้าเบรค หม้อลมเบรค เบรคมือด้วยก็ดีครับ ในข้อนี้การจะตรวจสอบเบื้องต้นคือไม่มีอะไรมากครับ เมื่อเราใช้เบรคแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น มีเสียงเหมือนเหล็กกรีดกัน อันนี้อาจจะมาจากผ้าเบรค ไม่ว่าจะหมด หรือโดนน้ำ หรือขาผ้าเบรคงอผิดปกติ หรือผ้าเบรคใหม่ มีเสียงได้ทั้งนั้นสำหรับท่านที่ไม่สามารถแกะดูได้เอง ก็ให้อู่ใกล้ๆบ้านตรวจดูให้ได้ครับ แต่สำหรับท่าที่สามารถตรวจดูได้เอง ก็ลองขับๆไปแล้วดูอาการไปครับ ถ้าเปียกน้ำหรือชื้น สักพักก็จะหายไปครับ ส่วนอาการที่เราเหยียบเบรคแล้ว แป้นเบรคจมลงไปเลย อันไปตรวจสอบสายน้ำมันเบรค คาลิเปอร์ครับ มีการรั่วมีตามดเกิดขึ้นไหม ถ้าแข็งเหยียบไม่ลง อันนี้ไปดูหม้อลมครับ เวลาเช็คหม้อลมง่ายๆก็คือ ดับเครื่องยนต์นะครับ ย้ำเบรคจนมันแข็งนะครับ เสร็จแล้วเหยียบข้างไว้ แล้วสตาทร์ครับ ถ้าหม้อลมยังทำงานอยู่ แป้นเบรคต้องยุบครับ
5.ยางปัดน้ำฝน อันนี้ไม่อะไรมากครับ ก็เวลาเราปัดแล้วมันไม่เรียบ เราก็เปลี่ยนก็แค่นั้น แต่เดี๋ยวก่อน ก่อนจะเปลี่ยนเราทำความสะอาดมันซะหน่อยจะดีกว่า เอาผ้าเช็ด หรือลูบส่วนที่เป็นยางก่อนนะครับ จะเห็นว่ามีคราบดำๆ เช็ดจนคราบมีน้อยๆ หรือไม่มีเลย แล้วลองใช้ดู โดยมากดีขึ้นเยอะครับ จะได้ไม่ต้องเสียเงินครับ
6.ช่วงล่าง พวกโช้ค สปริง เมื่อเราขับรถยนต์ไปแล้ว เจอพื้นที่ต่างระดับ แล้วมีอาการยวบยาบรู้สึกไม่มั่นคง ให้ลองกดรถยนต์ดูนะครับ กดตามจุดต่างๆเลยครับเป็นการทดสอบโช้คอัพครับ เรากดสัก 5-10ที(หาจุดที่บอดี้แข็งแรงหน่อยนะครับเดี๋ยวบุบ) แรงๆนะครับ แล้วปล่อยถ้ารถยังเด้งอยู่ไม่หยุด นั่นก็คือโช้คอาจะรั่วแล้วครับ หรืออีกอย่างคือดูที่แกนโช้คว่ามีคราบอะไรไปติดอยู่เยอะไหม เอามือไปจับครับถ้ามีน้ำมันนั่นก็แปลว่ารั่วเช่นกันครับ หรือถ้าเราได้ยินเสียงดัง กุ๊กๆ จ้างห้องเครื่องยนต์ ไม่ว่าจุดไหนก็ดีเหมือนเหล็กกระแทกกัน เป็นไปได้ที่ยางรองหัวโช้คอาจจะขาดไปแล้วนะครับ หรือถ้าเราจอดรถพื้นเอียงทิ้งไว้สักพัก แล้วขับลงมาพบว่ารถยังเอียงอยู่ เป็นไปได้ครับว่าสปริงล้าแล้วครับ
7.แบตเตอรี่ เมื่อเราสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วมีอาการแบตอ่อน อาการคือไดสตาร์ทเราจะฟังเสียงเหมือนไม่ค่อยมีแรงครับ หรือจอดไว้แล้วสตาร์ทไม่ค่อยติดคือแบตเก็บไฟไม่ค่อยอยู่แล้วครับ

คร่าวๆเอาเท่านี้ก่อนละกันครับนึกอะไรออกเดี๋ยวมาเขียนเพิ่มเติมให้นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น